ATE พาชมบูทในงาน การประชุมวิชาการนานาชาติ (International Symposium) ภายใต้หัวข้อ “Towards Holistic Roads and Beyond”
บริษัทของเรานำเทคโนโลยีงานทางไทยก้าวไกลสู่เวทีโลก🚀
อนาคตของถนนไทยจะเป็นเช่นไร? 🛣️ แนวทางหนึ่งคือการใช้นวัตกรรมล้ำสมัยเพื่อยกระดับมาตรฐานถนนของเราให้ทัดเทียมสากล บริษัทของเรา (ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมงานทาง) ได้เข้าร่วมจัดบูธแสดงเทคโนโลยีงานทางสุดล้ำในงานประชุมวิชาการนานาชาติ “Towards Holistic Roads and Beyond” เมื่อวันที่ 4-5 กันยายน 2568 ณ กรมทางหลวงชนบท เขตบางเขน กรุงเทพฯ โดยงานนี้จัดขึ้นภายใต้ความร่วมมือของกรมทางหลวงชนบทและสมาคมทางหลวงแห่งประเทศไทย มีนักวิชาการด้านโครงสร้างพื้นฐานจากนานาประเทศเข้าร่วม เพื่อ “ผนึกกำลัง…ยกระดับโครงข่ายถนนไทยสู่มาตรฐานสากล” ตอบโจทย์แนวคิด ถนนเชิงองค์รวม ที่เน้นผลลัพธ์ (Output & Performance-Based) ในการพัฒนาและบำรุงรักษาถนนอย่างยั่งยืน



เทคโนโลยีล้ำสมัยที่นำไปจัดแสดง 🧪🚀
ในงานนี้ บูธของบริษัทเราได้ โชว์นวัตกรรมงานทางระดับแนวหน้า ที่ตอบสนองหัวข้อ State-of-the-art Technology และ Innovative Construction ของการประชุมครั้งนี้โดยมีการสาธิตและนำเสนอเครื่องมือทันสมัยหลากหลายประเภท ดังนี้:-MALÅ MIRA Compact 3D GPR – ระบบเรดาร์หยั่งความลึก (Ground Penetrating Radar) แบบ 3 มิติความเร็วสูง ที่สามารถสแกนโครงสร้างใต้ผิวถนนครอบคลุมพื้นที่กว้างได้ในรอบการสำรวจเดียว (one-pass) และให้ภาพข้อมูลความละเอียดสูงคมชัดด้วยเทคโนโลยี HDR (High Dynamic Range) ที่พัฒนาขึ้นโดย Guideline Geo เหมาะสำหรับงานสำรวจสาธารณูปโภคใต้ดิน ประเมินชั้นโครงสร้างถนน และตรวจหาช่องว่างหรือโพรงใต้พื้นผิว เพื่อป้องกันปัญหาถนนทรุดตัวในอนาคต
-MALÅ GeoDrone 600 – นวัตกรรม GPR ติดตั้งบนโดรนแบบ airborne สำหรับการสำรวจพื้นที่ที่เข้าถึงยากหรืออันตราย (เช่น พื้นที่ห่างไกล ภูมิประเทศขรุขระ หรือเขตหิมะถล่ม) โดยใช้อากาศยานไร้คนขับในการเก็บข้อมูลใต้ผิวดินจากมุมสูง เทคโนโลยีนี้ช่วยให้การสำรวจโครงสร้างถนนครอบคลุมทุกพื้นที่เป็นไปอย่างรวดเร็วและปลอดภัย พร้อมทั้งใช้ระบบ HDR GPR เช่นเดียวกับรุ่นภาคพื้นดิน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีคุณภาพสูง ช่วยเปิดมิติใหม่ของการสำรวจถนนจากอากาศ
-SSI CS8800 Walking Profiler – เครื่องวัดความเรียบผิวถนนแบบเข็นเดินด้วยคน สำหรับตรวจวัดค่าความขรุขระและความเรียบ (ดัชนี IRI) ของพื้นผิวถนนอย่างละเอียด เครื่องนี้ใช้ระบบเซ็นเซอร์วัดความเอียงที่ให้ค่าซ้ำ (Repeatability) สูงกว่า 99% บนพื้นผิวหลากหลายประเภททำให้นักวิศวกรสามารถวัดโปรไฟล์ถนนที่ความแม่นยำสูงกว่าอุปกรณ์ติดยานพาหนะทั่วไป เหมาะสำหรับใช้เป็นมาตรฐานอ้างอิงในการสอบเทียบเครื่องวัดความเรียบความเร็วสูง และรับรองคุณภาพผิวทางในโครงการก่อสร้างหรือบำรุงรักษาถนนได้อย่างมั่นใจ
-PRIMA 100 LWD (Light Weight Deflectometer) – เครื่องทดสอบกำลังรับน้ำหนักและการยุบตัวของชั้นดินและชั้นพื้นทางแบบน้ำหนักเบา ที่สามารถพกพาและใช้งานโดยคนคนเดียวได้ อุปกรณ์นี้ใช้หลักการเดียวกับเครื่อง FWD ขนาดใหญ่ในการปล่อยน้ำหนักกระแทกบนแผ่นเหล็กแล้ววัดการยุบตัวของชั้นดินด้วยโหลดเซลล์ความแม่นยำสูง ผลลัพธ์ที่ได้ช่วยให้วิศวกรทราบค่าโมดูลัสหรือค่าการรับน้ำหนักของชั้นฐานรากได้ทันที ณ หน้างาน ก่อนการปูผิวทาง เพื่อให้แน่ใจว่าพื้นฐานของถนนมีความแข็งแรงพอที่จะรองรับการใช้งานระยะยาว หากชั้นดินหรือชั้นพื้นทางอ่อนเกินไป ถนนที่สร้างเสร็จจะเกิดร่องล้อและแตกร้าวก่อนเวลาอันควร ดังนั้นการตรวจสอบด้วย LWD จึงเป็นวิธี ควบคุมคุณภาพชั้นทาง ที่เน้นผลลัพธ์ป้องกันปัญหาถนนล้มเหลวในอนาคต
TransTech PQI 380 / PQI 380+ – เครื่องวัดความหนาแน่นแอสฟัลต์แบบไม่ใช้สารกัมมันตรังสี (Non-Nuclear Asphalt Density Gauge) สำหรับงานตรวจคุณภาพการบดอัดพื้นผิวถนนแอสฟัลต์ ช่วยให้ได้ค่าความหนาแน่นของวัสดุผิวถนนภายใน 3 วินาที โดยไม่ต้องเจาะหรือทำลายผิวถนน ข้อดีของการเป็นอุปกรณ์ Non-Nuclear คือ ไม่ต้องมีใบอนุญาตหรือปฏิบัติตามข้อกำหนดการจัดเก็บวัสดุกัมมันตรังสี ใดๆ ทั้งสิ้น การใช้งานจึงสะดวกและปลอดภัยสำหรับหน่วยงานภาครัฐและผู้รับเหมา รุ่น PQI 380+ ซึ่งเป็นเจเนอเรชันใหม่ล่าสุด มาพร้อมจอสัมผัสระบบปฏิบัติการ Windows 10 และรองรับการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันมือถือ TransTech Connect บน iOS/Android ทำให้ผู้ใช้สามารถสแกน QR code เพื่อส่งค่าการวัดขึ้นคลาวด์ได้ทันที ช่วยลดขั้นตอนเอกสารและลดความผิดพลาดในการจดบันทึก เพิ่มประสิทธิภาพงานควบคุมคุณภาพบนถนนได้อย่างมาก
-TransTech SDG 200 – เครื่องวัดความหนาแน่นของชั้นดิน (Soil Density Gauge) แบบไม่ใช้กัมมันตรังสี สำหรับทดสอบความแน่นและความชื้นของวัสดุงานดิน (เช่น ชั้นซับเกรดหรือชั้นรองพื้นทาง) ด้วยหลักการ วัดค่าการนำสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Impedance) ผลการวัดจะแปรผันตามความหนาแน่นและปริมาณน้ำในดิน ทำให้สามารถประเมินคุณภาพการบดอัดดินได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้วิธีขุดเก็บตัวอย่างหรือเครื่องมือ nuclear gauge แบบเดิมๆ อุปกรณ์รุ่นนี้เป็นแบบ All-in-one ขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา แต่ให้ข้อมูลทั้งความหนาแน่นและความชื้นที่แม่นยำ และยังสอดคล้องตามมาตรฐาน ASTM D7830 อีกด้วย การใช้ SDG 200 ช่วยวิศวกรมั่นใจได้ว่าการบดอัดชั้นดินรองพื้นมีความแน่นเพียงพอ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อความทนทานของถนนคอนกรีตหรือถนนแอสฟัลต์ในระยะยาว
-MEASURE Deflectometer – เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ที่ดึงดูดความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานเป็นอย่างมาก 🌟 อุปกรณ์นี้คือ Laser Doppler Deflectometer เครื่องแรกของโลกที่ออกแบบให้ติดตั้งได้กับยานพาหนะทั่วไป (ไม่จำเป็นต้องติดตั้งบนรถทดสอบพิเศษขนาดใหญ่เหมือน Traffic Speed Deflectometer รุ่นก่อนๆ) เมื่อประกอบเข้ากับรถแล้ว เครื่องจะยิงเลเซอร์วัด ค่าการโก่งตัวของผิวถนน (Deflection) แบบ เรียลไทม์ ขณะที่รถวิ่งด้วยความเร็วปกติ (ตั้งแต่ 5–150 กม./ชม.) โดยให้ความแม่นยำของการวัดในระดับไมโครเมตรต่อเมตร (±15 μm/m) เทียบเท่าหรือดีกว่ามาตรฐานของเครื่องมือขนาดใหญ่ โซลูชันนี้รวมระบบเซ็นเซอร์เลเซอร์ Doppler ที่ออกแบบเฉพาะเพื่อการวัดความยืดหยุ่นของโครงสร้างถนน ทำให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดและเชื่อถือได้สูง โดยแทบไม่เกิดสัญญาณขาดหายหรือต้องหยุดปรับโฟกัสเลเซอร์บ่อยๆ เหมือนเทคโนโลยีเดิม จุดเด่น คือประมวลผลข้อมูลบนอุปกรณ์ทันที ไม่ต้องเก็บข้อมูลดิบปริมาณมหาศาลไว้ประมวลผลภายหลัง ลดเวลาการวิเคราะห์ลงอย่างมาก และเพราะตัวเครื่องเป็นชุดสำเร็จรูปขนาดย่อม การติดตั้งหรือโยกย้ายไปใช้กับยานพาหนะคันอื่นทำได้ง่าย 🛻 ผู้ปฏิบัติงานภาคสนามจึงสามารถใช้รถกระบะหรือรถตู้ที่มีอยู่เป็น “ห้องปฏิบัติการเคลื่อนที่” เพื่อสำรวจสภาพโครงสร้างถนนทั้งสายได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว ผลที่ได้คือหน่วยงานจะทราบว่า ถนนส่วนใดมีความแข็งแรงเพียงพอ หรือส่วนใดเริ่มอ่อนตัว และต้องวางแผนซ่อมบำรุงเป็นพิเศษ ซึ่งข้อมูลนี้ถือเป็นหัวใจของการบริหารสินทรัพย์ถนนยุคใหม่ ให้เราสามารถซ่อมถนนเชิงป้องกันได้ตรงจุดก่อนที่ปัญหาจะลุกลาม




มุ่งเน้นผลลัพธ์ เพื่อถนนคุณภาพยั่งยืน ✅
การนำนวัตกรรมเหล่านี้มาใช้ในงานทาง ช่วยยกระดับกระบวนการทำงานของภาครัฐและวิศวกรให้มี ข้อมูลเชิงลึก รองรับการตัดสินใจที่แม่นยำยิ่งขึ้น ทุกขั้นตอนตั้งแต่สำรวจ ออกแบบ ก่อสร้าง ไปจนถึงบำรุงรักษาถนนสามารถตรวจสอบคุณภาพและผลลัพธ์ได้แบบเรียลไทม์และครอบคลุมมิติต่างๆ ตัวอย่างเช่น การทดสอบชั้นพื้นทางด้วย LWD ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความล้มเหลวของถนนหลังสร้างเสร็จ ลดการซ่อมแซมที่สิ้นเปลืองในอนาคต หรือการใช้เครื่องวัดความหนาแน่นแอสฟัลต์แบบไม่ใช้กัมมันตรังสีอย่าง PQI 380 ช่วยประหยัดเวลาและต้นทุน โดยไม่ต้องหยุดงานรอผลทดสอบนาน และยังลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยจากการใช้วัสดุกัมมันตรังสี นอกจากนี้ การควบคุมคุณภาพงานบดอัดที่ดีจะทำให้ผิวถนนแน่นและเรียบสม่ำเสมอ ส่งผลให้อายุการใช้งานของถนนยาวนานขึ้น เกิดถนนที่คงทนและยั่งยืน ไม่ต้องซ่อมบ่อย ประหยัดงบประมาณระยะยาว
ยิ่งไปกว่านั้น เทคโนโลยีการวิเคราะห์โครงสร้างถนนด้วยเครื่อง Deflectometer ความเร็วสูง ยังเอื้อให้หน่วยงานเจ้าของถนนสามารถปรับเปลี่ยนแนวทางการบำรุงรักษาสู่รูปแบบ “Maintaining by data” คือใช้ข้อมูลสภาพถนนจริงในการวางแผนซ่อมเชิงป้องกัน (ไม่ใช่รอให้ถนนพังแล้วค่อยซ่อม) ซึ่งจะช่วยลดอุบัติเหตุ เพิ่มความปลอดภัย และลดผลกระทบด้านจราจรจากการปิดถนนซ่อมบ่อยครั้ง ถือเป็นการเปลี่ยนผ่านสู่วิธีบริหารสินทรัพย์ถนนยุคใหม่ที่เน้น ประสิทธิผล สูงสุด
ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมงานทาง 💡
การได้มีส่วนร่วมในงานประชุมระดับนานาชาติครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของบริษัทเราในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมงานทางของไทย เราภูมิใจที่ได้เป็นช่องทางในการนำนวัตกรรมและองค์ความรู้ใหม่ๆ จากทั่วโลกมาเผยแพร่แก่หน่วยงานภาครัฐและวิศวกรไทย เช่น เทคโนโลยี Deflectometer จากประเทศเดนมาร์กข้างต้น ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของโซลูชันระดับโลกที่เราได้นำมาเปิดตัวให้วงการวิศวกรรมไทยได้รู้จักผ่านงานนี้ อีกทั้งเครื่องมืออย่าง MALÅ GPR จากสวีเดน หรือ TransTech PQI/SDG จากสหรัฐอเมริกา ล้วนเป็นเทคโนโลยีทันสมัยที่ช่วยแก้ปัญหาเฉพาะด้านในการสร้างและดูแลถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราเชื่อมั่นว่าการผสมผสานเครื่องมือเหล่านี้เข้ากับการทำงานภาคสนาม จะช่วยให้หน่วยงานผู้ดูแลถนนในประเทศไทยสามารถยกระดับคุณภาพงานของตนได้ในทุกมิติ สมดังเป้าหมายของการประชุมที่ต้องการ ขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานถนนไทยสู่มาตรฐานสากล และสร้างถนนที่ “ปลอดภัย ฉลาด และยั่งยืน” ต่อไปในอนาคต



















